การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้แนวคิดพันธกิจสำหรับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส) ที่จะตอบสนองต่อเป้าหมายในอนาคตในระยะ 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2548-2552) เพื่อนำผลที่ได้มาเสนอเป็นกรอบทางเลือกเบื้องต้นให้กับคณะกรรมการ สวรส. ใช้เป็นแนวทางในการกำหนดพันธกิจ ผู้วิจัยได้ใช้หลักการของการมองอนาคต (foresight) และการศึกษาพันธกิจของ สวรส. จากอดีตถึงปัจจุบันพร้อมผลงานต่างๆ ในแต่ละยุคสมัยของ สวรส.(พ.ศ.2540-2546) นำมากำหนดกรอบคำถามในการสัมภาษณ์ระดับลึกผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งได้แก่นักวิชาการ,ผู้กำหนดนโยบายด้านสาธารณสุข,ผู้บริหารทางด้านสุขภาพ และผู้ให้บริการด้านสุขภาพ จำนวนทั้งสิ้น 20 ท่าน ในประเด็นที่เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน แนวโน้มและความไม่แน่นอนทางด้านสังคม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อระบบสุขภาพของประชาชนในอนาคต ในการแปลผล ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้รับจากการสัมภาษณ์มาสังเคราะห์ แล้วนำมาจัดเป็นโครงเรื่องของภาพอนาคตที่มีความสามารถในระดับหนึ่งในการสะท้อนถึงพันธกิจของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขในอีก 5 ปีข้างหน้าและนำประเด็นที่เป็นความเหมือน และความแตกต่างมาสรุปเป็นภาพอนาคต 3 ภาพ ดังนี้สวรส.เป็นองค์กรสร้างความรู้และจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาประเทศ โดยเป็นองค์กรที่สร้างความรู้เพื่อชี้นำและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับวิสัยทัศน์ ความคิด และทิศทางของสังคม และเป็นองค์กรที่ทำงานวิจัยเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นวัฒนธรรมการเรียนรู้ของชุมชน ตลอดจนการใช้ความรู้เพื่อการตัดสินใจในการทำงานด้านระบบสุขภาวะของประชาชน ในภาพนี้ สวรส. ยังคงสร้างงานวิจัย นักวิจัย และผู้ที่นำผลงานวิจัยไปสู่การปฏิบัติ เน้นการสร้างนวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ดีกว่าสวรส.เป็นองค์กรวิชาการที่มีการบริหารจัดการนำความรู้ไปใช้ในเชิงระบบ โดย สวรส.เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงทางด้านสุขภาวะในเชิงระบบและสร้างกระแสการเปลี่ยนแปลงที่มีโครงสร้างรองรับด้วยการบริหารจัดการเชิงระบบ และทำหน้าที่เป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการสร้างกลไกเชื่อมโยงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้ปฏิบัติการในทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปรับปรุงระบบ สุขภาพ ในภาพนี้เน้นการใช้ทรัพยากรให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ผลักดันความรู้และงานวิจัยให้เป็นนโยบายสาธารณะ โดยอาศัยความร่วมมือจากองค์กรหุ้นส่วนสวรส.เป็นองค์กรที่สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชนในเชิงวิชาการ มุ่งให้ประชาชนดูแลสุขภาพได้ด้วยตนเองโดยมีฐานความรู้จากงานวิจัยเชิงระบบที่ถูกนำไปย่อยให้ง่าย สะดวกต่อการนำไปใช้ และประชาชนทั่วไปหรือหน่วยงานองค์กรต่างๆ สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรในการพัฒนาประเทศ เน้นการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความรู้ไปพร้อมกับกิจการการผลักดันการเคลื่อนไหวของสังคมและภาคส่วนต่างๆเป็นผู้สนับสนุนและจุดประกายให้องค์กรท้องถิ่นเพิ่มศักยภาพในการทำวิจัยระบบสุขภาพด้วยตนเองเน้นการสร้างเครือข่ายการทำงานแบบพหุภาค โดยให้ความสำคัญกับงานวิจัยในระดับองค์กรภาคประชาชน และเป็นตัวกลางสำคัญในการติดต่อให้ภาคองค์กรประชาชนจับมือร่วมกับเอกชนในการสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน