การเฝ้าระวังการเข้าถึงบุหรี่ของเยาวชนอายุตำกว่า 18 ปี โดยอาสาสมัคร ครู ร้านค้าบุหรี่ และผู้นำชุมชนในจังหวัดหนองคายปี 2541 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ในพื้นที่ 5 หมู่บ้านของ ต.เซิม อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย มีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบการเฝ้าระวังและรณรงค์ไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าถึงบุหรี่ ดำเนินงาน 3 ระยะ คือ ระยะแรกสำรวจความคิดเห็นของอสม., ครู, เจ้าของร้านค้าบุหรี่, สมาชิก อบต., เจ้าอาวาสวัด,ตำรวจและนักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อหาปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ ระยะที่ 2 จะประชุมระดมความคิดกลุ่มเหล่านี้(ยกเว้นกลุ่มนักเรียน) เพื่อหารูปแบบการเฝ้าระวังและรณรงค์ จากนั้นจะดำเนินการจริงตามที่ตกลงในที่ประชุม ระยะที่ 3 ประเมินผลการเฝ้าระวังและรณรงค์ดังกล่าว ผลการดำเนินงานพบว่า ปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ คือ ไม่ทราบโทษของบุหรี่ โดยนักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับโทษพิษภัยของบุหรี่และกฎหมายที่เกี่ยวข้องระดับปานกลางเป็นส่วนใหญ่ร้อยละ 60.6, ไม่ทราบกฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ โดย อสม., ครู, เจ้าของร้านค้าบุหรี่, สมาชิก อบต., เจ้าอาวาสวัด,ตำรวจและนักเรียน ทราบว่ามีกฎหมายดังกล่าวออกมาบังคับใช้แล้วเพียงร้อยละ 61.5, 62.5, 78.9, 66.7, 33.3, 61.9 และ 67.2 ตามลำดับ นักเรียนเคยซื้อบุหรี่ถึงร้อยละ 79.4 สาเหตุอื่นที่ทำให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่คือ อยากลอง, ครอบครัวมีปัญหา,สูบตามผู้ใหญ่,ไม่มีกิจกรรมนันทนาการ,ไม่มีองค์กรในท้องถิ่นที่ทำหน้าที่รณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่อย่างจริงจัง,อิทธิพลจากเพื่อน มีกิจกรรมเฝ้าระวังและรณรงค์ดังนี้ คือ การให้ความรู้เรื่องโรคและโทษพิษภัยของบุหรี่โดย ติดตั้งป้ายผ้า, ติดตั้งป้าย “ห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี มาซื้อบุหรี่” ที่ร้านค้าบุหรี่ทุกร้าน, แจกแผ่นพับความรู้เกี่ยวกับบุหรี่, ทำสปอตเปิดทางหอกระจายข่าว, ตั้งองค์กรท้องถิ่นขึ้น 3 ชมรม คือ ชมรมเพื่อการไม่สูบบุหรี่ตำบลเซิม ชมรมร้านค้าต้านภัยบุหรี่ ชมรมปอดสะอาดโรงเรียนเซิมพิทยาคม, จัดทำลานกีฬาในวัด ลานกีฬาในโรงเรียน จัดงานลานกีฬา ลานใจ ต้านภัยยาเสพติด, จัดประกวดห้องเรียนปลอดคนสูบบุหรี่ จัดประกวดนักเรียนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่สูบบุหรี่ จัดประกวดภาพวาดรณรงค์ต่อต้านบุหรี่,จัดเทศน์เรื่องโทษของบุหรี่ทุกวันพระ จัดพิธีสาบานตนไม่เกียวข้องกับบุหรี่ รวม 216 คน, ตำรวจตรวจสอบร้านค้าเดือนละ 1 ครั้ง,อบต.ตั้งงบประมาณสนับสนุนการรณรงค์ทุกปี ผลจากการเฝ้าระวังพบว่า นักเรียนทราบกฎหมายบุหรี่เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 26.2 เป็นร้อยละ 44.1 อัตราการสูบบุหรี่ลดลงจากเดิมร้อยละ 31.1 เป็นร้อยละ 20.9 มีผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ในระหว่างโครงการ คิดเป็นอัตราการเลิกสูบร้อยละ 42.5 พฤติกรรมการซื้อบุหรี่ลดลงจากเดิมร้อยละ 79.4 เป็นร้อยละ 45.6 อัตราการสูบบุหรี่ของประชาชนทั่วไปร้อยละ 27.0 เคยสูบแต่เลิกสูบร้อยละ 19.5 รูปแบบและวิธีการรณรงค์เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ในครั้งนี้ มาจากบุคคลที่อยู่ในพื้นที่จริง ๆ ไม่ใช่เป็นวิธีการที่ผู้วิจัยคิดขึ้นมา ดังนั้นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจึงเป็นความสำเร็จที่เกิดจากชุมชนเอง ความต่อเนื่องของโครงการ คงต้องมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่องต่อไป